รายการลดหย่อนภาษี
ใกล้ถึงฤดูกาลยื่นภาษีประจำปี 2567 ทั้งกลุ่มที่รายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี และรายได้ถึงเกณฑ์คงเตรียมพร้อมวางแผนลดหย่อนภาษี และยื่นแบบกันแล้วใช่หรือไม่ ? ซึ่งการยื่นภาษีมีความสำคัญมากกว่าที่ทุกคนคิด เนื่องจากการไม่ยื่นแบบภาษีจะต้องโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท ยิ่งถ้ากรมสรรพากรตรวจย้อนหลังแล้วพบเจอว่ารายได้ถึงเกณฑ์แต่หลีกเลี่ยงการเสียภาษี โทษจะยิ่งสูงขึ้นด้วย
รู้อย่างนี้แล้วทุกคนจึงควรยื่นแบบภาษี เพราะนอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว ยังทำให้ประเทศมีรายได้เพิ่มขึ้น แถมยังช่วยให้คุณวางแผนภาษี เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าเดิม จากการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีต่าง ๆ ซึ่งจะมีสิทธิลดหย่อนภาษีอะไรบ้าง และมีวิธีการยื่นแบบอย่างไร เราเตรียมคำตอบสำหรับมือใหม่ที่หัดยื่นภาษีครั้งแรก ไว้แล้วในบทความนี้!
การวางแผนภาษีสำคัญอย่างไร
การวางแผนภาษีนอกจากช่วยให้คุณเสียภาษีถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด ไม่ถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ยังมีประโยชน์สำคัญที่ควรทราบได้แก่
1. สามารถวางแผนการเงินได้รัดกุมและเป็นระบบมากขึ้น
ใครที่เป็นเจ้าของกิจการ หรือฟรีแลนซ์ คงทราบดีว่าระบบการยื่นภาษีของกรมสรรพากรมีทั้งแบบอัตราเหมา และหักค่าใช้จ่ายตามจริง ถ้าต้องการใช้สิทธิหักตามจริง ก็ต้องเตรียมเอกสารใบรับรอง ใบรับเงินต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการ จึงต้องวางแผนการเงินอย่างรัดกุม ไม่นำเงินไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เพราะการใช้จ่ายกับรายการที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารธุรกิจ เช่น ซื้อแอลกอฮอล์ บุหรี่ ไม่อยู่ในรายการหักค่าใช้จ่ายตามจริง
2. ยิ่งวางแผนภาษีเร็ว ยิ่งประหยัดภาษีได้มาก
หากวางแผนภาษีเร็ว เพื่อน ๆ จะมีเวลาศึกษารายละเอียดของรายการลดหย่อนภาษีต่าง ๆ ว่ามีรายการอะไรบ้าง พร้อมเตรียมเอกสารประกอบการลดหย่อนภาษีได้ครบถ้วน ทำให้ได้เงินคืนจากการประหยัดภาษีมากยิ่งขึ้น

ระยะเวลาการยื่นภาษี 2567
สำหรับระยะเวลายื่นภาษีในปี 2567 ยื่นได้ถึงวันที่ 9 เมษายน 2567 ดังนั้นอย่ารอช้ารีบไปยื่นแต่เนิ่น ๆ จะได้หาทางลดหย่อนภาษีได้ก่อนใคร และไม่ต้องรอคิวนานเมื่อไปทำเรื่องที่สำนักงานกรมสรรพากรใกล้บ้านคุณ
รายการลดหย่อนภาษี ปี 2567 มีอะไรบ้าง?
หากคุณต้องการลดหย่อนภาษี 2567 แต่ไม่รู้ว่ามีรายการใดบ้างที่จะประหยัดภาษีได้มากขึ้นวันนี้เราได้รวบรวมเทคนิคลดหย่อนภาษี 2567 ดี ๆ ผ่านรายการลดหย่อนทั้ง 4 กลุ่มเอาไว้ให้แล้ว ซึ่งได้แก่
- ค่าลดหย่อนค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว
- ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุน
- ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มเงินบริจาค
- ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ

1. ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว
เป็นสิทธิลดหย่อนภาษีขั้นพื้นฐานที่ทุกคนได้รับตามกฎหมาย ส่วนจะลดภาษีได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าสถานะว่าโสด สมรส หรือมีบุตรแล้ว ดังรายละเอียดต่อไปนี้
- ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัว
ลดหย่อนได้ 60,000 บาท และสิทธินี้ชาวไทยทุกคนใช้ได้หมดไม่ว่าจะอยู่ในสถานะโสด, แต่งงานแบบจดทะเบียนสมรส หรือไม่ได้จดทะเบียนก็ตาม - ค่าลดหย่อนภาษีคู่สมรส
ลดหย่อนได้ 60,000 บาท แต่หลายคนเข้าใจว่าแค่แต่งงานจะได้ลดหย่อนภาษีทันที60,000 บาท ไม่ใช่นะ เพราะต้องเป็นคู่สมรสที่ต้องจดทะเบียนสมรส และคู่สมรสต้องไม่มีรายได้ด้วย ถึงจะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีในส่วนนี้ - ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร
หากใครฝากครรภ์ไม่ว่าจะเป็นสถานพยาบาลจากของรัฐและเอกชน ก็สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ตามจริงได้ครรภ์ละไม่เกิน 60,000 บาท แต่ถ้าทั้งสองสามีภรรยายื่นแบบภาษี คนที่จะได้รับสิทธินี้ คือ ฝั่งภรรยา ส่วนฝั่งสามีจะได้รับสิทธิลดหย่อนก็ต่อเมื่อฝ่ายหญิงไม่มีรายได้เท่านั้น - ค่าลดหย่อนภาษีบุตร
ครอบครัวไหนมีลูกหลายคนได้เปรียบแน่นอน เพราะลดหย่อนภาษีได้ถึงคนละ 30,000 บาท แต่ต้องเป็นบุตรที่อายุไม่เกิน 20 ปีนะ อายุเกินกว่านี้จะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ และการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบุตร พ่อ-แม่ต้องจดทะเบียนสมรส
ถ้าไม่ได้จดทะเบียน กรณีนี้ฝ่ายคุณพ่อจะไม่ได้รับสิทธิลดหย่อน แต่คุณแม่จะได้สิทธิลดหย่อนแต่เพียงฝ่ายเดียว และบุตรคนที่สองที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป ยังได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีสูงถึงคนละ 60,000 บาทอีกด้วย
- ค่าลดหย่อนสำหรับเลี้ยงดูบิดามารดาของตนเองและของคู่สมรส
หากใครต้องดูแลพ่อแม่ที่อายุเกินกว่า 60 ปีขึ้นไป และพ่อแม่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30,000 ต่อคน และสิทธินี้ยังครอบคลุมไปถึงพ่อ-แม่ของคู่สมรสอีกด้วย หมายความว่าถ้าคุณดูแลพ่อแม่ตัวเอง+พ่อแม่แฟนด้วยแล้ว จะลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 120,000 บาท - ค่าลดหย่อนภาษีกรณีอุปการะผู้พิการหรือบุคคลทุพพลภาพ
หากต้องดูแลผู้พิการที่บ้านไม่ว่าจะเป็น พ่อ-แม่-บุตร สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท แต่ผู้พิการหรือทุพพลภาพนั้นจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000บาท ด้วย และต้องมีหลักฐานว่าคุณเป็นผู้อุปการะจริง ๆ ผ่านใบรับรองแพทย์ หรือว่าบัตรประจำตัวคนพิการ

2. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุน
สิทธิลดหย่อนภาษีกลุ่มดังกล่าว ผู้สนใจใช้สิทธิต้องซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือสมทบทุนในกองทุนที่รัฐกำหนด ดังรายละเอียดต่อไปนี้
- เงินประกันสังคม
พนักงานบริษัทเอกชนที่สมทบเงินเข้ากองทุนประกันสังคมเป็นประจำเดือนละ 750 บาท หมายความว่าใน 1 ปี คุณจะต้องสมทบทุนเข้าประกันสังคมเท่ากับ 9,000 บาท (750 x 12 เดือน) ทางกรมสรรพากรจึงอนุญาตให้ผู้ที่ชำระประกันสังคมอยู่แล้ว ใช้สิทธิลดหย่อนตามจำนวนเงินสมทบทั้งปีได้เลย หมายความว่าพนักงานบริษัททุกคน สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเบื้องต้นได้สูงสุด 9,000 บาท - เบี้ยประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์
จะได้สิทธิลดหย่อนภาษี ก็ต่อเมื่อซื้อประกันที่มีแผนกรมธรรม์คุ้มครองระยะเวลาเกิน 10 ปีขึ้นไป ถ้าในระหว่าง 10 ปีนี้เพื่อน ๆ จ่ายประกันไม่ไหว จนต้องเวนคืนกรมธรรม์ แน่นอนว่าสิทธิลดหย่อนภาษีก็จะหายไปด้วย
และเบี้ยประกันชีวิตที่คุณได้จ่ายไป นำมาลดหย่อนได้ตามจริงสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะได้รับสิทธิลดหย่อน 100,000 บาท นะ เพราะต้องเป็นค่าเบี้ยที่ “จ่ายตามจริง” นั่นแปลว่าถ้าทั้งปีคุณจ่ายเบี้ยไป 5,000 บาท ก็จะได้สิทธิลดหย่อนภาษีเท่ากับ 5,000 บาท เท่านั้น - เบี้ยประกันสุขภาพ และเบี้ยประกันอุบัติเหตุที่คุ้มครองสุขภาพ
ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ แล้วจะลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท ประโยคนี้เพื่อน ๆ อาจจะงงนิดนึง มาดูตัวอย่างนี้กันนาย ข. ซื้อประกันชีวิตจากบริษัท A จ่ายค่าเบี้ย 75,000 บาทต่อปี,ซื้อประกันสุขภาพแผน B ค่าเบี้ย 12,000 บาทต่อปี และซื้อประกันสุขภาพแผน C จ่ายค่าเบี้ย 20,000 บาทต่อปี ซึ่งรวมกันแล้วจ่ายค่าเบี้ยเท่ากับ 107,000 บาทต่อปี แทนที่นาย ข. จะได้สิทธิลดภาษีเท่ากับ 107,000 บาท แต่ไม่ใช่นะ เพราะตามสิทธิลดหย่อนแล้ว จะลดภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท เท่านั้น - เบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา
ถ้าใครทำประกันให้พ่อแม่ก็สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท และบิดามารดาต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปีด้วย - เงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม)
ผู้ที่สนใจทำธุรกิจเพื่อสังคม หรือซื้อหุ้นกลุ่มดังกล่าวตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป สามารถนำเงินลงทุนไปเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ตามจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท - กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)
กองทุนน้องใหม่ที่เน้นลงทุนในบริษัทที่เกาะเมกะเทรนด์ความยั่งยืน ESG สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท - กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF : Retirement Mutual Fund)
นอกจากกองทุน Thai ESG แล้ว กองทุน RMF ก็ให้สิทธิลดหย่อนภาษีไม่เกิน 30% ของเงินได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท ทั้งนี้ใครสนใจกองทุน RMF ต้องถือหน่วยลงทุนเกินกว่า 5 ปีขึ้นไปนะ ถึงขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2567 นี้ได้ - กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF : Super Saving Funds)
ลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท แต่มีข้อแม้ว่าเพื่อน ๆ ต้องถือหน่วยลงทุนของ SSF เกินกว่า 10 ปีขึ้นไปถึงจะใช้สิทธิลดภาษีได้ และกองทุน SSF มีข่าวมาว่าจะให้ลดหย่อนภาษีถึงแค่ปี 2567 นี้เท่านั้น ต้องติดตามต่อไปว่าจะได้รับการขยายเวลาต่ออายุการใช้สิทธิลดหย่อนหรือไม่ - กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) / กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน
พนักงานบริษัทเอกชน หรือครูเอกชนที่ได้ทำกองทุนดังกล่าวเอาไว้ นอกจากใช้สิทธิลดหย่อนภาษีของประกันสังคมได้แล้ว ยังใช้สิทธิลดภาษีจากกองทุน PVD หรือกองทุนสงเคราะห์ครูเอกชนได้ด้วย ซึ่งลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท - กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ (กบข.)
ใครเป็นข้าราชการต้องจ่ายเงินกบข. เป็นประจำทุกเดือนอยู่แล้ว อย่าลืมขอลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท - กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
ฟรีแลนซ์ พ่อค้า-แม่ค้า ที่ไม่มีกองทุนเหมือนกับสาขาอาชีพอื่น ก็สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เช่นกันผ่านการออมในกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ซึ่งจะลดหย่อนภาษีได้ตามจริงสูงสุดไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี - เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ
ลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้พึงประเมิน ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท สามารถใช้สิทธิดังกล่าวควบคู่ไปกับเบี้ยประกันรูปแบบอื่น ๆ ได้ด้วย

3. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มเงินบริจาค
การบริจาคเงินก็อยู่ในเกณฑ์ที่สามารถลดหย่อนภาษี 2567 ด้วยเช่นกัน ซึ่งมีเงินบริจาค 3 ประเภทที่อยู่ในเกณฑ์ลดหย่อนภาษี
- เงินบริจาคทั่วไป
ใครเป็นสายมู บริจาคให้วัดวาอาราม หรือมูลนิธิอยู่เป็นประจำ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายค่าลดหย่อนกลุ่มอื่น ดังนั้นหลังบริจาคเสร็จแล้วให้ขอใบเสร็จไว้ด้วย เพื่อเป็นหลักฐานสำหรับการขอลดหย่อนภาษี
- เงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ และบริจาคเพื่อสถานพยาบาลของรัฐ
จัดเป็นค่าลดหย่อนภาษีที่สูงกว่ากลุ่มอื่นเลยทีเดียว เพราะลดหย่อนภาษีได้ถึง 2 เท่าของเงินบริจาคจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าลดหย่อนภาษี - เงินบริจาคให้กับพรรคการเมือง
ใครมีพรรคการเมืองในดวงใจ ก็อย่าลืมบริจาคให้ด้วยนะ เพราะให้สิทธิลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงสูงถึง 10,000 บาท

4. ค่าลดหย่อนกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ
สำหรับกลุ่มนี้ต้องติดตามข่าวสารเศรษฐกิจสักหน่อยว่ารัฐบาลได้มีโครงการอะไรออกมากระตุ้นเศรษฐกิจบ้าง และนอกจากโครงการรัฐแล้วใครที่กำลังผ่อนบ้านอยู่ ก็สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน
- Easy E-Recipt
ใครเป็นสายช็อปปิ้งห้ามพลาดกับการเข้าร่วมโครงการนี้เด็ดขาด เพราะให้สิทธิลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริงสูงสุดถึง 50,000 บาทต่อคน แต่ไม่ใช่สินค้าทุกรายการนะที่จะเข้าโครงการนี้ ก่อนใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจึงต้องตรวจสอบรายชื่อร้านค้าที่เข้าร่วมรายการเป็นอันดับแรก เมื่อซื้อเสร็จแล้วให้ขอใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ หรือใบเสร็จจากร้านค้า เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันในการรับสิทธิหักค่าลดหย่อนภาษีด้วย - ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อหรือสร้างที่อยู่อาศัย
ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว คอนโด ทาวน์เฮ้าส์ ฯลฯ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามค่าใช้จ่ายจริงไม่เกิน 100,000 บาท หมายความว่าถ้าทั้งปีจ่ายดอกเบี้ยไป 120,000 บาท ก็ลดได้แค่ 100,000 บาท นะ
เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2567
เมื่อทราบแล้วว่าสิทธิลดหย่อนภาษีมีอะไรบ้าง ให้เตรียมเอกสารดังต่อไปนี้
- ใบเสร็จรับเงินในการซื้อกองทุน ประกันชีวิต ประกันสะสมทรัพย์
- หลักฐานการบริจาค
- หนังสือรับรองดอกเบี้ยจากการกู้ยืมของทางธนาคาร
จะเห็นได้ว่าหากต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2567 ต้องเตรียมตัวตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะใช้เอกสารเยอะมาก ยิ่งใครมีรายได้สูง ยิ่งต้องวางแผนภาษีกันข้ามปีเลยทีเดียว
สถานที่สำหรับการยื่นภาษี
สามารถยื่นแบบภาษี เพื่อขอสิทธิลดหย่อนภาษีได้ 2 แห่ง ได้แก่
- สำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขา ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานในห้าง ในเขต อำเภอ ยื่นได้ทั้งหมด
- เว็บไซต์ของกรมสรรพากร
หลังจากรู้จักกับสิทธิลดหย่อนภาษีทั้ง 4 ประเภทไปแล้วหวังว่าทุกคนคงได้รับความรู้เตรียมพร้อมยื่นแบบภาษี และวางแผนลดหย่อน เพื่อจะได้ประหยัดภาษีตั้งแต่เนิ่น ๆ และอย่าลืมว่าสิทธิลดหย่อนภาษี 2567 ไม่เหมือนกับการลดภาษีนะ
เพราะวิธีการคิดคำนวณภาษีเกิดจากรายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน = เงินได้ หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า “เงินได้สุทธิ” จากนั้นกรมสรรพากรก็จะนำเงินได้ในส่วนนี้ไปคิดภาษีด้วยอัตราภาษีต่อไป หมายความว่ายิ่งมีรายการลดหย่อนเยอะเท่าไหร่ เงินได้ก็ยิ่งลดลง ทำให้เมื่อคำนวณด้วยอัตราภาษีแล้ว จะประหยัดภาษีได้พอสมควร
เมื่อรู้ดังนี้แล้วควรติดตามข่าวสารการลดหย่อนภาษีอยู่เป็นประจำ เพราะมีรายการลดหย่อนภาษีที่อัปเดตอยู่เสมอ และถ้าไม่รู้ขั้นตอนการลดหย่อนภาษี 2567 ว่าต้องทำอย่างไรดี เพียงแค่เดินไปที่สำนักงานกรมสรรพากรใกล้บ้านคุณได้เลย มีเจ้าหน้าที่พร้อมให้คำปรึกษาคุณแน่นอน
Cr. https://www.krungsricard.com/th/article/รายการลดหย่อนภาษี-2567
ในช่วงต้นปีนี้ เชื่อว่าหลาย ๆ คน โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2567 ก็ต้องมองหารายการลดหย่อนภาษี ว่าสามารถนำอะไรไปลดย่อนได้บ้าง ที่จะนำเงินได้ของปี 2566 มาคำนวณแล้วยื่นภาษีในปีนี้ ตามที่ทางกรมสรรพากรกำหนดเอาไว้ ทั้งการยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 และ แบบ ภ.ง.ด.91 ซึ่งดีเดย์ในการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะเปิดให้ยื่นได้จนถึงวันที่ 8 เมษายน 2567 ที่จะถึงนี้ เพราะฉะนั้น ก่อนไปยื่นภาษีด้วยตนเอง เรามาดูกันว่าในปีนี้รายการลดหย่อนภาษีมีอะไรบ้าง ที่สามารถนำไปใช้ได้ แล้วมีมาตรการไหนหรือบ้าง ที่มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ในปีนี้
ทำความรู้จัก “รายการลดหย่อนภาษี” สำหรับมนุษย์เงินเดือน
คำว่า “รายการลดหย่อนภาษี” หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า “ค่าลดหย่อนภาษี” เป็นรายการที่ทางกฎหมายกำหนดให้หักการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อแบ่งเบาภาระทางด้านภาษีให้กับผู้เสียภาษี เช่น การจ่ายภาษีได้ถูกลง หรือการขอรับเงินคืนภาษี โดยสิทธิในการลดหย่อนภาษีนั้น จะมีหลากหลายหมวดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ค่าลดหย่อนส่วนตัว ค่าลดหย่อนคู่สมรส ค่าลดหย่อนบิดามารดา ค่าลดหย่อนบุตร ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมาตรการทีทางรัฐกำหนดให้ในแต่ละปี เช่น โครงการช้อปดีมีคืน เป็นต้น
รวมรายการลดหย่อนภาษี 2567 มีอะไรบ้างที่ใช้ได้
สำหรับการรายการลดหย่อนภาษี 2567 ที่ใช้ประกอบการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากปี 2566 ที่ผ่านมานั้น ผู้ที่มีเงินได้สามารถลดหย่อนได้หลากหลายหมวดด้วยกัน ดังต่อไปนี้
1. ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
สำหรับค่าลดหย่อนส่วนตัวนั้น ตามกฎหมายกำหนดให้ผู้เสียภาษีสามารถใช้ค่าลดหย่อนส่วนตัวได้ปีละ 60,000 บาท โดยสามารถใช้สิทธิได้ทันทีทั้งการยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2566 ด้วยการยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 และ ภ.ง.ด.91 ซึ่งหากยื่นภาษีทางออนไลน์จะมีรายการลดหย่อนส่วนตัวให้โดยอัตโนมัติ
2. ค่าลดหย่อนคู่สมรส ใช้สิทธิลดหย่อนได้ 60,000 บาท
ในกรณีที่ใช้สิทธิลดหย่อนคู่สมรสใช้ลดหย่อนได้สูงสุด 1 คน และต้องเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น โดยคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องเป็นผู้ไม่มีเงินได้ หรือว่ามีรายได้ในปีนั้น ๆ เช่น หากยื่นภาษีในปี 2567 นี้ ก็เท่ากับว่าในปี 2566 ที่ผ่านมา จะต้องไม่มีเงินได้เลย เป็นต้น ส่วนกรณีที่มีเงินได้ทั้งคู่ สามารถยื่นภาษีรวมกันแล้วใช้สิทธิลดหย่อนในหมวดหมู่นี้ได้
3. ค่าลดหย่อนบุตรชอบด้วยกฎหมาย คนละ 30,000 บาท
ในกรณีที่ต้องการใช้ค่าลดหย่อนบุตร สามารถใช้สิทธิได้คนละ 30,000 บาท ส่วนถ้ามีบุตรคนที่ 2 โดยนับตั้งแต่ที่เกิดในปี 2561 เป็นต้นไป สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท นอกจากนี้ ในกรณีที่เป็นบุตรบุญธรรม สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 3 คน และต้องมีชีวิตอยู่เท่านั้น ซึ่งกรณีนี้บุตรจะต้องมีอายุไม่เกิน 20 ปี ส่วนบุตรที่มีอายุตั้งแต่ 21 – 25 ปี จะต้องศึกษาอยู่ในระดับ ปวส. ขึ้นไป และบุตรจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี ยกเว้นกรณีที่ได้รับเงินปันผล
4. ค่าลดหย่อนบิดามารดา คนละ 30,000 บาท
โดยบุตรที่เลี้ยงดุพ่อแม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท โดยต้องเป็นพ่อแม่ที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือก็คือเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง นอกจากนี้ พ่อแม่จะต้องมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี ส่วนกรณีที่มีพี่น้องที่มีเงินได้แล้วต้องการใช้สิทธิลดหย่อน จะต้องมีการพูดคุยกันอย่างชัดเจนว่าใครจะใช้สิทธิตรงนี้ เพราะว่าตามกฎหมายให้ใช้สิทธิได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้สิทธิซ้ำกันได้ ส่วนใครที่ใช้สิทธิลดหย่อนบิดามารดา จะต้องทำหนังสือรับรองการหักค่าลดหย่อน หรือ ลย.03 ประกอบกัน
5. ค่าลดหย่อนผู้พิการ หรือทุพพลภาพ ใช้สิทธิได้คนละ 60,000 บาท
หากเป็นผู้อุปการะหรือว่าผู้ดูแลผู้พิการหรือทุพพลภาพ สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้คนละ 60,000 บาท แต่เงื่อนไขคือ จะต้องมีหลักฐานในการยื่นประกอบด้วย ไม่ว่าจะเป็น บัตรประจำตัวผู้พิการหรือว่าใบรับรองแพทย์ และใบ ลย.04
6. ค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท
ในกรณีที่มีการฝากครรภ์และคลอดบุตร สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง โดยไม่เกิน 60,000 บาท ซึ่งกรณีที่ยื่นภาษีเงินได้ส่วนบุคคลธรรมดา ตามกฎหมายแล้วให้เป็นของภรรยา แต่ถ้ากรณีที่ภรรยาไม่มีเงินได้สามีจึงจะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตรงนี้แทนได้ ซึ่งจะต้องยื่นควบคู่กับใบเสร็จรับเงินและใบรับรองแพทย์
7. ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกันและการลงทุน
- ประกันสุขภาพ ไม่เกิน 25,000 บาท
- ประกันชีวิตทั่วไป + สะสมทรัพย์ รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท
- ประกันสังคม 9,000 บาท
- ประกันสุขภาพพ่อแม่ ไม่เกิน 15,000 บาท
- กองทุน RMF ลดหย่อนภาษีได้ 30% แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุน SSF ลดหย่อนภาษีได้ 30% ไม่เกิน 200,000 บาท และหากรวมกับกองทุนอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ
1. โครงการช้อปดีมีคืน 2566
สำหรับโครงการช้อปดีมีคืน สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการในระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2566 มาใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2566 ได้ตามที่จ่ายจริง แต่เงื่อนไขคือ ต้องไม่เกิน 40,000 บาท ซึ่งสิทธิลดหย่อนจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ กลุ่มสินค้าหรือบริการ 30,000 บาทแรก สามารถใช้ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบเป็นหลักฐาน และค่าสินค้าหรือบริการ 10,000 บาทที่เหลือ ต้องใช้ใบเสร็จรับเงินหรือว่าใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลักฐานประกอบการยื่นลดย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น
หมายเหตุ : ผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากโครงการช้อปดีมีคืน 2566 ได้
2. ลดหย่อนภาษี ดอกเบี้ยบ้าน
หากใครที่ซื้อคอนโดหรือบ้าน สามารถนำดอกเบี้ยที่ได้จากการซื้อที่อยู่อาศัย มาใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 2567 ได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยจะต้องยื่นร่วมกับเอกสารรับรองการจ่ายดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้ออกให้ ส่วนกรณีที่ซื้อแบบกู้ร่วมสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเฉลี่ยตามจำนวนผู้ร่วมกู้

ลดหย่อนภาษี 2567 ด้วย e-Tax Invoice กับ Easy E-Receipt
อีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือ โครงการ Easy E-Receipt ที่สามารถนำค่าซื้อสินค้าหรือบริการมาลดหย่อนภาษี 2567 ได้สูงสุดถึง 50,000 บาท โดยจะต้องเป็นการซื้อสินค้าและบริการภายในวันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2567 โดยโครงการนี้ทางผู้ให้บริการจะต้องออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
โดยโครงการนี้ยังเข้าเกณฑ์ Digital Wallet ด้วย รวมถึงการใช้บริการอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น ค่าโรงแรมหรือค่าตั๋วเครื่องบิน อุปกรณ์ไอทีและเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ตลอดจนร้านค้าทั่วไปที่สามารถออกใบกำกับภาษี e-Tax Invoice & e-Receipt ให้ได้ (ไม่สามารถใช้แบบกระดาษได้) ทั้งนี้ หากร้านค้าไม่ได้จดทะเบียนภาษี จะต้องเป็นการซื้อสินค้าหรือบริการที่เป็นหนังสือพิมพ์ และนิตยสารทุกรูปแบบ หรือเป็นสินค้าจากโครงการ OTOP ที่ลงทะเบียนกับกรมพัฒนาชุมชน
หมายเหตุ : ใช้ลดหย่อนภาษีในปี 2567 ที่จะเก็บภาษีในช่วงต้นปี 2568
สรุปรายการลดหย่อนภาษี 2566 เช็กเพื่อวางแผนได้ทันที
คนไทยทุกคนที่มีเงินเดือนประจำตั้งแต่ 120,000 บาท/ปี หรือมีรายได้ประเภทอื่นตั้งแต่ 60,000 บาท/ปี มีหน้าที่ต้องยื่นภาษี โดยไม่เกี่ยวข้องกับอายุแต่อย่างใด ส่วนจะต้องเสียภาษีเท่าไรนั้นจะขึ้นอยู่กับฐานของเงินได้สุทธิในแต่ละปี ซึ่งทุกคนสามารถวางแผนเพื่อลดหย่อนภาษีได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะทำให้สามารถประหยัดภาษีลงไปได้ หรืออาจจะไม่ต้องเสียภาษีเลยหากเงินได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่าย และค่าลดหย่อนต่าง ๆ แล้วเหลือไม่เกิน 150,000 บาท/ปี ด้วยเหตุนี้เอง การวางแผนเพื่อลดหย่อนภาษีจึงควรทำตั้งแต่เริ่มต้นปี เพราะจะช่วยให้สามารถคำนวณสิทธิลดหย่อนแบบเต็มอัตราได้ และค่าลดหย่อนบางประเภทยังเป็นแผนการลงทุนเพื่อการเกษียณได้ด้วย มาเริ่มต้นทำความเข้าใจกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เราจะได้รับเพิ่มเติม อัปเดตเลยว่าค่าลดหย่อนภาษี 2566 มีอะไรบ้าง บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงรายละเอียดอย่างครบถ้วนเลยทีเดียว
การลดหย่อนภาษีคืออะไร
การลดหย่อนภาษี หรือที่เรียกว่า “ค่าลดหย่อน” นั้น คือ รายการใช้จ่ายที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีเงินได้สามารถนำไปหักออกจากเงินได้ หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วเพิ่มเติมได้ และวิธีนี้ไม่ใช่การเลี่ยงภาษี แต่เป็นรายการที่กฎหมายอนุญาตให้ทุกคนทำได้
วิธีการคำนวณเงินได้สุทธิ คือ “(รายได้รวมต่อปี – ค่าใช้จ่าย) – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ”
ซึ่งยิ่งมีค่าลดหย่อนมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้คุณจ่ายภาษีน้อยลง เนื่องจากเหลือเงินได้สุทธิที่ลดลง โดยปัจจุบันคุณสามารถคำนวณภาษีได้สะดวกและง่ายมากขึ้น ผ่านเครื่องมือคำนวณภาษีของธนาคารกรุงศรีอยุธยานี้

รายการพื้นฐานที่ใช้สำหรับลดหย่อนภาษี 2566 มีอะไรบ้าง
รายการลดหย่อนภาษีตามที่กฎหมายกำหนดในแต่ละปีจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลที่ได้ให้การสนับสนุน และกระตุ้นให้ประชาชนเกิดพฤติกรรมในเรื่องการลงทุนมากขึ้น ดังนั้นในแต่ละปีจะต้องตรวจเช็กว่า มีรายการลดหย่อนภาษีอะไรบ้างที่ใช้ได้ มาอัปเดตของปี 2566 กันเลย
ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัว และครอบครัว
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว
หักค่าลดหย่อนได้ 60,000 บาท เป็นสิทธิพื้นฐานของผู้ที่มีรายได้ทุกคน ที่สามารถนำมาลดหย่อนได้ทันที - ค่าลดหย่อนคู่สมรส
หักค่าลดหย่อนได้ 60,000 บาท ซึ่งคู่สมรสต้องไม่มีรายได้ และจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย หากคู่สมรสมีรายได้ต้องพิจารณาว่า ต้องการยื่นรายได้รวมกันหรือแยกกัน - ค่าลดหย่อนบุตร
- บุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้มีเงินได้ ต้องอายุไม่เกิน 20 ปี หรืออายุ 21-25 ปีที่กำลังศึกษากำลังศึกษาในระดับอนุปริญญา (ปวส.) ขึ้นไป
- บุตรที่เกิดก่อนปี 2561 หักค่าลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท
- บุตรที่เกิดหลังปี 2561 คนแรกหักค่าลดหย่อนได้ 30,000 บาท คนที่ 2 เป็นต้นไปหักค่าลดหย่อนภาษีได้คนละ 60,000 บาท
- ใช้ลดหย่อนได้ตามจำนวนบุตรจริง
- บุตรที่นำมาใช้สิทธิจะต้องมีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาท/ปี
- บุตรบุญธรรม ต้องจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมถูกต้องตามกฎหมาย
- หักค่าลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 3 คน
- หากมีบุตรชอบด้วยกฎหมายด้วย จะต้องใช้และนับสิทธิก่อน หากใช้ครบแล้ว 3 คน จะไม่สามารถใช้สิทธิบุตรบุญธรรมได้อีก
- บุตรบุญธรรมที่นำมาใช้สิทธิจะต้องมีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาท/ปี
- ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และค่าคลอดบุตร หักได้ตามจริงที่จ่ายให้สถานพยาบาลของรัฐหรือเอกชน สูงสุดไม่เกิน 60,000 บาท/การตั้งครรภ์ หากเป็นครรภ์ฝาแฝดจะนับเป็น 1 การตั้งครรภ์
- บุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้มีเงินได้ ต้องอายุไม่เกิน 20 ปี หรืออายุ 21-25 ปีที่กำลังศึกษากำลังศึกษาในระดับอนุปริญญา (ปวส.) ขึ้นไป
- ค่าลดหย่อนอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา
- หักค่าลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท
- สามารถหักลดหย่อนได้ทั้งของตนเองและของคู่สมรส รวมสูงสุด 4 คน
- บิดา มารดาที่นำมาใช้สิทธิ ต้องมีอายุมากกว่า 60 ปี และต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท
- ในกรณีครอบครัวนั้นมีบุตรหลายคน พี่น้องจะสามารถนำบิดา มารดา ไปใช้สิทธิหักค่าลดหย่อนได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีซ้ำได้
- บุตรบุญธรรม ไม่สามารถนำบิดา มารดา ที่เป็นผู้รับบุตรบุญธรรมมาลดหย่อนได้
- ค่าลดหย่อนอุปการะเลี้ยงดูคนพิการ หรือคนทุพพลภาพ
- หักค่าลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท
- ผู้พิการจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี ต้องมีบัตรประจำตัวผู้พิการ และต้องมีหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะของผู้มีรายได้
- ในกรณีที่ผู้พิการหรือทุพพลภาพเป็นบิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้มีเงินได้ จะสามารถใช้สิทธิได้ทั้ง 2 ส่วน และไม่จำกัดจำนวนคน เช่น กรณีอุปการะเลี้ยงดูบิดา หักค่าลดหย่อนได้ 30,000 บาท และบิดาเป็นผู้พิการ ก็จะได้ค่าลดหย่อนเพิ่มอีก 60,000 บาท รวมแล้วสามารถหักค่าลดหย่อนได้ 90,000 บาท หรือกรณีเป็นคู่สมรสจะหักได้ถึง 120,000 บาท เป็นต้น
- ในกรณีที่ผู้พิการหรือทุพพลภาพ ไม่ได้เป็นบิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้มีเงินได้ จะสามารถใช้สิทธิได้เพียง 1 คน
10 ค่าลดหย่อนภาษี จากการซื้อประกัน การออมเงิน และการลงทุน
- เงินสมทบกองทุนประกันสังคม
หักค่าลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 9,000 บาท ซึ่งเป็นเงินที่บังคับหักเข้ากองทุน 5% ของเงินเดือนทุกเดือน โดยมีขั้นต่ำ 83 บาท/เดือน และสูงสุด 750 บาท/เดือน (จำนวนสูงสุดจะคิดที่ฐานเงินเดือน 15,000 บาท เท่านั้น) - เบี้ยประกันชีวิต และเบี้ยประกันแบบสะสมทรัพย์
- ประกันชีวิตลดหย่อนภาษีได้เท่ากับเบี้ยที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
- กรมธรรม์ที่ทำต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
- ต้องทำกับบริษัทประกันชีวิตที่ประกอบกิจการในประเทศไทยเท่านั้น
- หากคู่สมรสไม่มีรายได้ สามารถนำเบี้ยประกันของคู่สมรสมาลดหย่อนได้เพิ่มเติม และสูงสูด 10,000 บาท
ในกรณีที่คุณยังไม่ได้ทำประกันชีวิต และกำลังมองหาแบบประกันชีวิตที่เข้ากับคุณ สามารถเข้าไปดูข้อมูลประกันชีวิตลดหย่อนภาษีผ่านเว็บไซต์ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ทันที
- ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ และเบี้ยประกันอุบัติเหตุเฉพาะความคุ้มครองสุขภาพ
หักค่าลดหย่อนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ต้องไม่เกิน 25,000 บาท ทั้งนี้เมื่อนำเบี้ยประกันสุขภาพ ประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์มารวมกัน จะลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท - ค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ
- หักค่าลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท
- กรมธรรม์ที่ทำต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
- ต้องทำกับบริษัทประกันชีวิตที่ประกอบกิจการในประเทศไทยเท่านั้น อย่างเช่น ประกันชีวิตลดหย่อนภาษีแบบบำนาญจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา
- ต้องมีเงื่อนไขการจ่ายผลประโยชน์เป็นรายงวดอย่างสม่ำเสมอ และต้องกำหนดช่วงอายุของการจ่ายเมื่อผู้มีเงินได้อายุตั้งแต่ 55-85 ปีขึ้นไป
- ค่าเบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา
สามารถนำมาหักค่าลดหย่อนภาษีเท่าที่จ่ายจริง และเมื่อรวมทั้งบิดาและมารดาต้องไม่เกิน 15,000 บาท โดยที่บิดามารดาต้องมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี ในส่วนนี้จะไม่มีเงื่อนไขอายุของบิดามารดาที่ต้องครบ 60 ปีขึ้นไป - เงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือกองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน
สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ ตามจำนวนที่จ่ายจริง และต้องไม่เกิน 500,000 บาท - เงินสะสมกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.)
นำมาหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท ทั้งนี้หากสนใจที่จะลงทุนใน กอช. จะมีเงื่อนไขเพิ่มเติมคือ- ต้องมีสัญชาติไทย อายุ 15-60 ปี
- ไม่ได้เป็นผู้ประกันตนภายใต้ระบบประกันสังคม ยกเว้นผู้ประกันตนมาตรา 40 (1)
- ไม่ได้เป็นข้าราชการ และสมาชิก กบข., ไม่ได้เป็นสมาชิกในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) และไม่ได้เป็นพนักงานประจำ
- เข้าใจง่าย ๆ ว่า เป็นกองทุนสำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งไม่ได้มีนายจ้างนั่นเอง
- การลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
เงินที่ลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีอย่าง RMF (Retirement Mutual Fund) สามารถนำมาหักค่าลดหย่อนได้ตามจริง โดยจะลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท - การลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
เงินที่ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี SSF (Super Saving Funds) สามารถนำมาหักค่าลดหย่อนได้ตามจริง โดยจะลดหย่อนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท ทั้งนี้ปัจจุบันจะให้สิทธิลดหย่อนได้ 5 ปี คือ ปี 2563-2567 - เงินลงทุนธุรกิจวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise)
หักค่าลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท โดยต้องลงทุนหรือลงหุ้นในธุรกิจที่จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมภายในข้อกำหนดของ พ.ร.บ. ส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. 2562 และหากเป็นการลงทุนในหุ้น มีข้อบังคับให้ต้องถือหุ้นจนกว่าวิสาหกิจเพื่อสังคมนั้น ๆ จะเลิกกิจการ
อย่าลืม!!! : คำนวณอัตราสูงสุดที่ใช้ลดหย่อนได้ เพื่อความคุ้มค่าในการลงทุนและประหยัดภาษี
- ประกันชีวิต + ประกันแบบสะสมทรัพย์ + ประกันสุขภาพ + ประกันอุบัติเหตุเฉพาะความคุ้มครองสุขภาพ = 100,000 บาท
- ประกันชีวิตแบบบำนาญ + กองทุนเพื่อการเกษียณอายุ* = 500,000 บาท
*กองทุนเพื่อการเกษียณอายุในปัจจุบัน คือ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.), กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
ลดหย่อนภาษีด้วยเงินบริจาค
- เงินบริจาคทั่วไป
เงินบริจาคลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน - เงินบริจาคลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน คือ
- สถานศึกษา ทั้งของรัฐและเอกชน
- สถานพยาบาลของรัฐ
- การบริจาคผ่าน e-Donation ผ่านสภากาชาด, กองทุนยุติธรรม, หน่วยงานด้านกีฬาที่สังกัดสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย, กองทุนเพื่อการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, กองทุนสนับสนุนการวิจัยตามกฎหมาย, กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบมาตรวิทยา, กองทุนเพื่อการพัฒนาระบบสาธารณสุขม, กองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้ง, องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อพัฒนาเด็กเล็ก, การจัดหาหนังสือหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งเสริมการอ่าน ให้กับสถานศึกษาของทางราชการหรือองค์การของรัฐบาล โรงเรียนเอกชน หรือสถาบันอุดมศึกษา, โครงการฝึกอบรมอาชีพ สถานพักฟื้น บำบัด และฟื้นฟูเด็ก และเงินบริจาคให้คนพิการเพื่อการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ
- เงินบริจาคแก่พรรคการเมือง
นำมาหักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท
ทั้งนี้การลดหย่อนผ่านเงินบริจาค ต้องมีการอัปเดตเงื่อนไขจากภาครัฐอยู่เสมอ เพราะอาจมีทั้งองค์กรที่เพิ่มขึ้น และเงื่อนไขการรับบริจาคที่ปรับปรุงใหม่
ลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมผ่านมาตรการรัฐ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
- ดอกเบี้ยบ้าน
สามารถนำดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อหรือสร้างที่อยู่อาศัยมาหักค่าลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง และสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท - ช้อปดีมีคืน สำหรับลดหย่อนภาษี 2566
- ค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2566 – 15 กุมภาพันธ์ 2566
- สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 40,000 บาท
- 30,000 บาทแรก ต้องมีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ ทั้งแบบกระดาษ และแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt ของกรมสรรพากร
- 10,000 บาทที่เหลือ ต้องมีใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ เฉพาะแบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น
- ทั้งนี้ผู้มีเงินได้ต้องเก็บรักษาใบกำกับภาษีไว้เป็นหลักฐาน ทั้งแบบกระดาษและแบบอิเล็กทรอนิกส์ หากเป็นกระดาษที่หมึกจางหายได้ แนะนำให้สแกนไฟล์หรือถ่ายเอกสารประกบไว้อีก 1 ชุด

วิธีตรวจสอบสิทธิลดหย่อนภาษี 2566 ที่ทำได้ด้วยตัวเอง
- เริ่มต้นโดยเข้าไปยังเว็บไซต์กรมสรรพากร
- คลิกเลือกเมนู My Tax Account ซึ่งจะเป็นบริการตรวจสอบข้อมูลภาษี รวมถึงค่าลดหย่อนด้วย
- ก่อนใช้งานต้องลงทะเบียน หรือล็อกอินด้วยบัญชีเดียวกับระบบ e-Filing
- เลือกรายการลดหย่อนเพื่อตรวจสอบ
ข้อแนะนำในการลดหย่อนภาษี 2566
- ควรมีการวางแผนเพื่อลดหย่อนภาษีล่วงหน้าตั้งแต่ต้นปี เพื่อให้สามารถคาดการณ์ได้ว่า ในปีภาษีนั้น ๆ ควรใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเท่าไหร่ เช่น ค่าลดหย่อนภาษีปี 2566 มีอะไรบ้างที่อัปเดตขึ้นมาใหม่ ต้องใช้เงินเพื่อลดหย่อนจำนวนเท่าไหร่ที่จะครอบคลุมเงินได้ในปีภาษี 2566 ทั้งหมด และมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องลดหย่อนเต็มอัตรา ซึ่งจะทำให้คุณสามารถบริหารเงินสดในแต่ละปีได้ดีขึ้น ไม่ต้องใช้เงินสดจำนวนมากเพื่อลดหย่อนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี
- ระยะเวลายื่นภาษี ผู้มีรายได้ที่ต้องยื่นภาษี สามารถยื่นภาษีแบบกระดาษได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม ของทุกปี และหากไม่สะดวกไปยื่นที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่เอง ก็สามารถยื่นภาษีทางออนไลน์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 8 เมษายน ซึ่งหากตรงกับวันหยุดจะเลื่อนวันสิ้นสุดออกไป ทั้งนี้ในแต่ละปีภาครัฐอาจจะมีนโยบายขยายระยะเวลาสิ้นสุดมาบังคับใช้เพิ่มเติมด้วย
- ระวัง!!! ไม่ยื่นแบบ ยื่นล่าช้า ยื่นผิด มีโทษปรับและจำคุก
- ไม่ยื่นแบบ ยื่นเกินเวลา มีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท
- ยื่นแบบเกินเวลาและมีภาษีต้องชำระ มีค่าปรับเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือน
- ยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ต แต่ไม่จ่ายภาษีภายใน 31 มีนาคม ต้องไปยื่นแบบที่สำนักสรรพากรพื้นที่ และมีค่าปรับร้อยละ 1.5 ต่อเดือน
- กรณีกรมสรรพากรตรวจพบว่า คุณไม่ยื่นแบบและออกหมายเรียก หรือยื่นแล้วแต่ชำระภาษีไม่ครบ ต้องชำระเงินเพิ่ม และต้องเสียเบี้ยปรับ 1 หรือ 2 เท่า ของภาษีที่ต้องชำระ
- จงใจยื่นแบบด้วยข้อมูลเท็จ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี และมีโทษปรับ 2,000 – 200,000 บาท
- ตั้งใจละเลยไม่ยื่นแบบเพื่อเลี่ยงภาษี มีโทษปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ
- สามารถผ่อนชำระภาษีได้ หากมียอดชำระภาษีตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป สามารถผ่อนชำระได้ 3 เดือน แต่ต้องระวังไม่ให้จ่ายภาษีเกินกำหนด เพราะจะมีโทษปรับร้อยละ 1.5 ต่อเดือน
- ช่องทางติดต่อกรมสรรพากร หากมีข้อสงสัยเกี่ยวการยื่นภาษี สามารถสอบถามได้ที่สำนักงานสรรพากรพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 ทุกวันทำการ ตั้งแต่เวลา 08.30 น. – 18.00 น.
จะเห็นได้ว่า การวางแผนการลดหย่อนภาษีนั้นเกี่ยวข้องกับทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะต้องเสียภาษีเพื่อนำไปพัฒนาประเทศต่อไป และเพื่อให้สามารถประหยัดภาษีได้อย่างคุ้มค่าในแต่ละปี การรักษาสิทธิด้วยค่าลดหย่อนเป็นอีกสิ่งที่ต้องมีในแผนการเงินของทุกคน โดยเฉพาะกับการลงทุนในกลุ่มประกันชีวิตและกองทุนเพื่อการเกษียณอายุต่าง ๆ เช่น SSF ลดหย่อนภาษี หรือ RMF ลดหย่อนภาษี ที่นอกจากจะช่วยลดภาษีลง ยังถือว่าเป็นการวางแผนเกษียณไปในตัว ซึ่งหากท่านใดต้องการคำแนะนำที่เหมาะสมกับตนเองโดยเฉพาะ สามารถปรึกษาหรือขอคำแนะนำเพิ่มเติมกับทางธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การลงทุน การวางแผนเพื่อลดหย่อนภาษี ที่สามารถให้คำปรึกษาผ่านช่องทางฮอตไลน์ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-296-5959 ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 9.00 น.-17.00 น. หรือฝากข้อมูลเพื่อให้ที่ปรึกษาทางด้านการเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยาติดต่อกลับก็ได้เช่นกัน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน กองทุนรวม SSF เป็นกองทุนเพื่อส่งเสริมการออม และ RMF ลงทุนเพื่อเกษียณอายุ ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีหากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน
บทความโดย