อะไรบ้างที่สามารถลดหย่อนภาษีได้

อะไรบ้างที่สามารถลดหย่อนภาษีได้

อะไรบ้างที่สามารถลดหย่อนภาษีได้

การลดหย่อนภาษีเป็นสิทธิที่สำคัญสำหรับผู้เสียภาษีทุกคน โดยเฉพาะการจัดการการเงินและการวางแผนภาษีให้เหมาะสม การลดหย่อนภาษีช่วยให้เราสามารถประหยัดเงินที่ต้องจ่ายภาษีประจำปีได้มากขึ้น ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับประเภทต่าง ๆ ของการลดหย่อนภาษีที่สามารถใช้ได้ในประเทศไทย

1. การลดหย่อนภาษีจากการออมและการลงทุน
การลงทุนและการออมในผลิตภัณฑ์การเงินบางประเภท สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งถือเป็นการวางแผนการเงินที่ดีและได้รับผลประโยชน์ทางภาษีในคราวเดียวกัน

กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): การลงทุนใน RMF ช่วยสนับสนุนการออมเพื่อการเกษียณ และสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนเงินลงทุนสูงสุดไม่เกิน 15% ของรายได้ต่อปี (ไม่เกิน 500,000 บาท)
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD): สำหรับพนักงานที่ทำงานในบริษัทที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สามารถนำส่วนที่เราสมทบไปหักลดหย่อนภาษีได้
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF): เป็นกองทุนที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนเงินที่ลงทุนสูงสุด 30% ของรายได้แต่ไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี
2. การลดหย่อนภาษีจากการทำประกัน
การทำประกันภัยต่าง ๆ นอกจากจะเป็นการป้องกันความเสี่ยงทางการเงินแล้ว ยังสามารถนำค่าเบี้ยประกันมาลดหย่อนภาษีได้

ประกันชีวิต: เบี้ยประกันชีวิตที่มีอายุสัญญาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปสามารถลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท
ประกันสุขภาพ: เบี้ยประกันสุขภาพที่ทำกับบริษัทประกันภัย สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 25,000 บาท (รวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้วไม่เกิน 100,000 บาท)
ประกันชีวิตแบบบำนาญ: เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญสามารถลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 15% ของรายได้และไม่เกิน 200,000 บาท
3. การลดหย่อนภาษีจากค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลและครอบครัว
ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคลบางประการที่รัฐบาลให้สิทธิลดหย่อนเพื่อเป็นการสนับสนุนผู้มีครอบครัวและมีภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือน

ค่าลดหย่อนส่วนตัว: ผู้เสียภาษีทุกคนสามารถลดหย่อนค่าตัวเองได้สูงสุด 60,000 บาท
ค่าลดหย่อนคู่สมรส: หากคู่สมรสไม่มีรายได้ สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 60,000 บาท
ค่าลดหย่อนบุตร: สามารถลดหย่อนภาษีสำหรับบุตรได้บุตรละ 30,000 บาท
ค่าลดหย่อนเลี้ยงดูบิดามารดา: หากบิดามารดาอายุ 60 ปีขึ้นไปและไม่มีรายได้ สามารถลดหย่อนค่าดูแลเลี้ยงดูได้คนละ 30,000 บาท
4. การลดหย่อนภาษีจากการบริจาค
การบริจาคเงินเพื่อสังคมในกิจกรรมต่าง ๆ สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งถือเป็นการทำบุญที่ได้ประโยชน์ทั้งส่วนตัวและสังคม

การบริจาคเพื่อการกุศล: เช่น การบริจาคให้มูลนิธิที่ได้รับการยอมรับจากกรมสรรพากร สามารถลดหย่อนได้ตามยอดเงินที่บริจาคจริง สูงสุดไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว
การบริจาคเพื่อการศึกษาและกีฬา: สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้โดยนับ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง
5. การลดหย่อนภาษีจากสินเชื่อที่อยู่อาศัย
การซื้อที่อยู่อาศัยหรือสินเชื่อบ้าน มีการสนับสนุนจากรัฐบาลในด้านการลดหย่อนภาษีสำหรับดอกเบี้ยจากการกู้สินเชื่อ

ดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย: สามารถนำดอกเบี้ยที่ชำระไปในแต่ละปีมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
6. การลดหย่อนภาษีจากการใช้จ่ายเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคม
รัฐบาลมักมีมาตรการพิเศษเพื่อลดหย่อนภาษีในบางกรณีที่สนับสนุนการใช้จ่าย เช่น การท่องเที่ยวหรือการใช้จ่ายในกิจกรรมที่ส่งเสริมเศรษฐกิจ

ช้อปช่วยชาติ: การใช้จ่ายซื้อสินค้าและบริการที่รัฐบาลกำหนด เช่น หนังสือ สินค้าโอทอป หรือยาบางประเภท สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่กำหนด
การท่องเที่ยวในประเทศ: ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวในพื้นที่ที่รัฐบาลสนับสนุน เช่น โรงแรม ร้านอาหาร สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
7. การลดหย่อนภาษีอื่น ๆ ที่สำคัญ
ยังมีการลดหย่อนภาษีอื่น ๆ ที่อาจมีประโยชน์ต่อผู้เสียภาษีในบางกรณี

ค่าซ่อมแซมบ้าน: สามารถลดหย่อนค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบ้านที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติได้ในบางกรณี
ค่าใช้จ่ายการศึกษา: ผู้ปกครองสามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของบุตรมาลดหย่อนได้ในบางโอกาสที่รัฐบาลประกาศใช้
สรุป
การลดหย่อนภาษีเป็นวิธีที่ช่วยลดภาระทางการเงินของผู้เสียภาษี การทำความเข้าใจสิทธิประโยชน์และใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอย่างถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ แต่ยังส่งเสริมให้เรามีการวางแผนการเงินที่ดีอีกด้วย ควรศึกษาและติดตามมาตรการภาษีจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสมในแต่ละปี

Start typing and press Enter to search

Shopping Cart